วันที่ 25 ตุลาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลง ณ ทำเนียบรัฐบาล ว่า "ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. …. ซึ่งร่างกฎกระทรวงนี้ จะมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา"
เพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย โดยเปิดโอกาสให้มีการลงทุนที่หลากหลายขึ้น และมีมาตรการที่จะช่วยดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนภายในประเทศมากขึ้น
กลุ่มชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ได้แก่
1.กลุ่มประชากรผู้มีความมั่งคั่งสูง (wealthy global citizens)
2.กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (wealthy pensioners)
3.กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (work-from-Thailand professionals)
4. กลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษสามารถพำนักและทำงานในประเทศไทยได้ (highly-skilled professionals)
ที่ดินที่ชาวต่างชาติกลุ่มดังกล่าว ครอบครองได้คือ
ที่ดินภายในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล หรืออยู่ภายในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ขนาดไม่เกิน 1 ไร่ ตามมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และใช้สำหรับอยู่อาศัยสำหรับตนเองเท่านั้น
เงินลงทุนจากต่างชาติ
ชาวต่างชาติที่มีศํกยภาพสูงดังกล่าว ต้องนำเงินมาลงทุนไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาท ในประเภทของธุรกิจที่รัฐบาลกำหนด โดยต้องเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย หรือเป็นกิจการที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ประกาศให้เป็นกิจการที่สามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนได้ และระยะเวลาการดำรงการลงทุนต้องไม่น้อยกว่า 3 ปี
หากถอนการลงทุนก่อนกำหนดครบระยะเวลาการดำรงทุน หรือก่อนครบ 3 ปี สิทธิที่ได้รับจากที่ดิน 1 ไร่จะต้องระงับไป
ทบทวนร่างกฎกระทรวงฯ ได้ทุก 5 ปี
เจตนารมณ์ของการร่างกฎกระทรวงฯ นี้ เพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงุทนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ไทย เปิดโอกาสให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าประเทศ คาดจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย
โดย ร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวนี้ สามารถทบทวนได้ทุกๆ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจและสังคมไทยในขณะนั้นๆ ด้วย ซึ่งจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะส่งร่าง ฯ ดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย